
คุณยาย…ตายแล้วฟื้น เดี๋ยวนี้ฝนตกหนักมาก หนักจนบางโอกาสยืนตากเฉยๆก็ยังรู้สึกเจ็บตัว มันเลยทำให้ผมมีเวลาว่างเว้นจากผู้กระทำรีดยาง มาเล่าประสบการณ์พิศดารให้ได้ฟังกัน ขอออกสตาร์ทก่อนว่า ตัวผมเองก็มิได้มีความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์อะไร ที่จะมาอ้างอิงหรือคัดค้านแต่อย่างใด ถึงแบบงั้น จำเป็นต้องเห็นด้วยว่าเรื่องราวอย่างการเกิด “ตายแล้วฟื้น” มีให้เจออยู่ทั่วโลก สำหรับคนต่างจังหวัดแบบผม ถ้ามีใครสักคนที่เคยหยุดหายใจไปกาลครั้งหนึ่งแล้ว โน่นก็พอๆกับว่าตายนั่นแหละ ประเด็นนี้คือเรื่องของ “คุณยายพร” ยายที่อาศัยอยู่กับหลานสาวข้างบ้านผม
ย้อนกลับไป 10 ปีที่ผ่านมา คุณยายพรอายุได้ 65 ขวบปี ก่อนหน้านี้ยายพรเคยอยู่อาศัยกับลูกสาวสองคน เพราะเหตุว่าผัวเสียไปนานหลายปีแล้ว จนตราบเท่าลูกสาวสองผู้จบการศึกษามหาวิทยาลัย ก็พากันออกไปดำเนินการที่อื่น ผมเองก็ถูกใจแวะเวียนไปเที่ยวเล่นบ้านคุณยายพรบ่อยๆโน่นเนื่องจากบ้านของแกมี “ต้นกระท่อม” ปลูกอยู่ข้างหลังบ้าน ผัวมึงที่เสียไปเคยปลูกไว้นานแล้ว ด้วยความที่บ้านชิดกัน คุณยายพรก็ใจดีแบ่งให้ผมฟรีๆไม่เคยคิดกะตังค์หากแม้สักสลึง แม้กระนั้นถ้าเป็นคนอื่นๆล่ะก็อย่าได้หวัง เพราะเหตุว่าเอ็งขายมุ่งมั่นน่าดู
ครั้งนึงมึงเคยโอ้อวดให้ที่บ้านผมฟัง ว่าที่ตนอุปการะบุตรสาว 2 คนยากจนได้ดิบได้ จบมหาวิทยาลัยดัง ก็เพราะต้นท่อมนี่แหละ ในตอนที่ราคายางมันตกอับ รายได้ฝืดเคือง เอ็งก็ไม่ต้องเอากล้ายางไปปลูกขายบนดาวอังคารเหมือนบ้านอื่นเค้า เพราะว่ามีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากใบกระท่อม ที่แท้ก็อย่างที่ทราบๆกัน ณ เวลานั้น มันมิได้เปิดเสรีเหมือนวันนี้ แต่ว่าตำรวจที่อาศัยแถวบ้านเค้าก็รู้เหตุการณ์นะ แม้กระนั้นก็ปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด ก็นะ…คนท้องถิ่นกับใบกระท่อมมันอยู่คู่กันมานับร้อยๆปี มันก็ราวกับสมุนไพร ไม่ต่างอะไรจากปลูกพริก ข่า ตะไคร้ ไว้ข้างหลังบ้านนักหรอก
เรื่องพิศดารของยายพร มันพึ่งจะเริ่มขึ้นที่ตรงนี้นี่แหละ ในเวลาที่หลานสาวแท้ๆที่เอ็งรับเลี้ยงให้บุตรสาวที่ไปปฏิบัติงาน เริ่มโตจะเป็นสาว อายุได้สัก 15 ก็หนีตามชายหนุ่มผ่านจังหวัด คุณยายพรเอ็งก็อุตส่าห์ไปตามกลับ แต่ว่าเด็กหญิงก็หัวแข็ง ในโลกของเธอช่วงนี้มีแต่ว่าไอหนุ่มที่คุณหลงโงหัวไม่ขึ้น ประเด็นนี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาพจิตใจของคุณยายพรเป็นอย่างมาก เมื่อยล้าเลี้ยงเหน็ดเหนื่อยมองก็พอแรงแล้ว ยังมาถูกบุตรสาวในไส้ก่นด่า กล่าวหาเลี้ยงหลานยังไง เพราะอะไรปลดปล่อยให้มันมีผัว กลายเป็นว่าในช่วงเวลานี้ยายพรก็หัวเดียวกระเทียมลีบ อยู่ตามลำพังอย่างสันโดษ
ยายพรเริ่มมีลักษณะอาการซึม พูดน้อยจา หนักเข้าก็ไม่ยินยอมทานข้าวกินปลา มัวแต่นั่งราวกับเหม่อลอย สายตาทอดออกไปไกลนอกบ้าน แม่ผมก็เป็นห่วง เลยคอยแวะเวียนไปดูคุณยายเอ็งทุกๆวัน จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง ในช่วงเวลาที่ผมนั่งปลอกมะพร้าวอยู่ข้างหลังบ้าน เสียงแม่ผมตะคอกดังมาจากฝั่งบ้านยายพร
10 หนังผีสุดสยดสยองจากเรื่องจริง!
“บ่าววววๆไอ้บ่าวๆคุณยายพรเสียแล้ว”
ผมรีบวิ่งผ่านไปบ้านยายพร สิ่งที่เจอเป็นยายพรนอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดหน้าโทรทัศน์ ในช่วงเวลาที่มันยังคงฉายรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งที่เอ็งชอบ สิ่งลี่ลับ ความน่ากลัว ดวงตาของเอ็งหลับสบาย ร่างกายนอนนิ่งไม่ไหวติงในอาการปกติ ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดแสดงออกมา ดูเผินๆก็ไม่มีความต่างจากหญิงสูงอายุนอนพักตอนกลางวัน คุณยาย แต่เพียงพอผมทดลองเอามือไปอังลมหายใจที่จมูกของแก ผมก็เจอความเป็นจริงที่น่าห่อเหี่ยวใจ ยายพรเอ็งไม่หมดลมหายใจไปแล้ว จับที่ตัวก็ยังอุ่นๆแสดงว่าพึ่งเสียได้ไม่นาน ถึงในช่วงเวลานั้นผมเลยรีบคว้าโทรศัพท์โทรแจ้งตำรวจ แล้วก็ผู้ใหญ่บ้าน
ตำรวจกับผู้ใหญ่บ้านมาถึงเร็วนี้ๆ พากันตรวจสอบร่างของคุณยายพร พบว่าไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย มึงอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีโรคอะไรที่ทำให้เสียไปอย่างสงบ รวมทั้งพร้อมส่งศพให้พี่น้องจัดแจงทางศาสนาถัดไป ผู้ใหญ่บ้านก็จัดแจงโทรศัพท์ไปแจ้งลูกสาวทั้ง 2 ของแก แน่นอนว่าก็ตกใจกันใหญ่ และพูดว่าจะรีบลางานเพื่อกลับใต้ให้เร็วที่สุด แม้กระนั้นในขณะที่ทุกคนมัวแต่วุ่นอยู่กับเรื่องข้างหน้า อีกเรื่องราวหนึ่งที่ไม่คิดก็เกิดมา…
“มาทำอะไรกันเต็มบ้านฉ้าาน”
ผ่านไปมากยิ่งกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมพบศพคุณยายพร แต่ขณะนี้ ดวงตาแกกลับเบิกโพลง แล้วพยุงตัวลุกขึ้นยืนมาช้าๆพวกสตรีก็พากันกรีดเสียงร้อง พวกผู้ชายก็ได้แต่ยืนอึ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะพากันเอ่ยปากถามยายพรแกว่า
“โน่นผู้ใดกันน่ะ ใช่ยายพรรึเปล่า”
ปรากฎว่าเอ็งก็ตอบรับเสียงใส ทำเอาใครต่อใครโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ด้วยกลัวว่าจะมีสัมภเวสีมาชิงสิงร่างยายพรแทน ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวให้ยายพรฟัง เอ็งก็โต้เถียงว่า “กูตายตอนไหน ก็แค่ดูโทรทัศน์แล้วเผลอหลับไป” แม้กระนั้นตำรวจ แม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านก็การันตีหัวข้อนี้ ว่าเอ็งไม่หายใจแล้วจริงๆจะว่าไปร่างแกก็เริ่มเย็นๆแล้วด้วย เอ็งก็เหมือนคิดอะไรได้ แล้วตอบอย่างจำยอม “เมื่อกี้นี้ เราตายไปแล้วจริงๆน่ะ”
แกกล่าวว่าในเวลาที่เคลิ้มหลับไปมึงก็ฝัน มันเป็นฝันนานรวมทั้งแปลกเอามากๆแต่ก็จำเรื่องราวต่างๆได้อย่างแจ่มแจ้ง เอ็งมีความรู้สึกว่าสบายเหมือนนอนบนน้ำ มันเย็นหลัง ตัวเบาหวิง
พอสักพักเอ็งมีความคิดเห็นว่ามีแสงสีขาวๆเป็นจุดให้เอ็งมองเห็นมาจากด้านบน เพียงพอถึงมันค่อยๆสว่างแล้วหลังจากนั้นก็กว้างขึ้น ขนาดราวนี้ (มึงทำมือคงจะโดยประมาณลูกฟุตบอล)
แล้วแกว่าในฝัน (จากที่มึงรู้เรื่อง) แกก็ราวกับถูกแสงสว่างนั้นดูดขึ้นไปหา มึงแสบตาเลยหลับตา แม้กระนั้นรู้ตัวเองวูบวาบไปหมด
ครู่หนึ่งรู้สึกหายแสบตา เอ็งเลยลืมตา แล้วเอ็งก็มีความเห็นว่า ตัวแกอยู่ตรงไหนสักที่ มันคุ้นๆ แต่คิดไม่ออกว่าที่ไหน